
Parasite (ชนชั้นปรสิต)
ไม่มีคำว่าโชคดีสำหรับคนจน
*เปิดเผยส่วนสำคัญของภาพยนตร์*
หลายคนอาจจะเชื่อว่า “ความจน” “ความรวย” เกิดจากบุญพาวาสนาส่ง หรือกรรมเก่าจากชาติที่แล้ว หรืออาจจะคิดแบบผิวเผินง่ายๆ ว่า เพราะคนจนขี้เกียจแต่คนรวยขยัน ไม่ว่าคุณจะคิดเห็นอย่างไรก็ทำให้เห็นว่า สองคำนี้ที่บ่งบอกถึงความแตกต่างทางชนชั้น และเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกลงไปในแต่ละประเทศ เพราะด้วยเศรษฐกิจยุคใหม่ในแบบทุนนิยม ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีความเสรีนิยมในการแข่งขันในการใช้ความสามารถในการผลิตงานออกมา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดี แต่ในหลายประเทศนั้นการใช้แนวคิดนี้ครอบคลุมเศรษฐกิจของประเทศ โดยประชาชนมีความไม่เท่าเทียมกันเป็นทุนเดิม ไม่ว่าจะเป็นทั้ง ยศฐาบรรดาศักดิ์ ชนชั้น ถิ่นที่อยู่ การเข้าถึงทรัพยากร นั่นทำให้โอกาสของคนไม่เท่ากัน และคนที่มีโอกาสมากกว่า หรือในชนชั้นที่สูงกว่าก็ย่อมไม่มีทางหล่นตุบลงมาสู่ ความแร้นแค้น กลับกันคนที่อยู่ในชนชั้นล่างก็ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน เบียดเสียดแข่งขัน เพื่อหวังจะขึ้นไปอยู่บนทางแห่งความสบาย เพราะทุกคนใคร่รู้ว่า ความจนนั้นมันเป็นสิ่งเหม็นเน่าอับเฉาซะเหลือเกิน
ภาพยนตร์ธริลเลอร์ตลกร้าย Parasite (ชนชั้นปรสิต) กำกับโดย บง จุน โฮ ได้ถ่ายทอดการเปรียบต่างระหว่างคำว่า “คนจน” “คนรวย” ในสังคมเกาหลีได้อย่างชัดเจน โดยสะท้อนให้เห็นปัญหาของชนชั้นในยุคสมัยปัจจุบัน ครอบครัวคนรวย ปัญหาของพวกเขา คือเรื่องของการจัดการปัญหาภายในบ้าน การเลี้ยงลูกให้ออกมาดี การจัดปาร์ตี้ และการงาน ส่วนคนจนนั้นปัญหาของพวกเขาคือปัญหาปากท้อง ปัญหาที่อยู่อาศัย และการหางานทำและไขว่คว้าหาโอกาส
ภาพยนตร์ทำให้เห็นภาพของครอบครัวคนจน มีหัวหน้าครอบครัวคือ ‘คิม’ อยู่ในสังคมสลัมที่บ้านต่ำกว่าพื้นถนน เขามีลูกชาย ‘คีอู’ ที่พยายามสอบเข้ามหาลัยแต่ไม่ติด ส่วนน้องสาว ‘คียอง’ ก็ไม่ได้เรียนต่อ พวกเขาได้งานพับกล่องพิซซ่าประทังชีวิตไป แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อนของคีอูก็นำพาสิ่งไม่ปรกติในชีวิตมาให้ นั่นคือหินปราชญ์มรดกตกทอดจากปู่ของเขา หินเปรียบเป็นเครื่องรางของขวัญที่มีความเชื่อว่าจะนำพาความโชคดีมาให้ครอบครัวของคิม
หลังจากนี้หนังได้นำเสนอให้เห็นโอกาสของคีอู ลูกชายที่ได้โอกาสปลอมตัวเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสวมรอยเข้าไปเป็นติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษให้ลูกสาวของครอบครัวคนรวย ก่อนที่จะใช้เล่ห์เพทุบายหลอกหลวงให้ฝ่ายคนรวยเชื่อจนเริ่มส่งคนในครอบครัวเข้าไปทำงานในบ้านใหญ่โตหลังนี้ ภาพยนตร์นำเสนอวิธีการต้มตุ๋นของครอบครัวคนจนได้อย่างสนุกสนานตลบตะแลง เป็นขั้นเป็นตอน และน่าติดตาม จนไม่อาจละสายตา โดยจับภาพความอ่อนเดียงสาของแม่คนรวย ‘คุณนายพัค’
ไม่ว่าจะเป็นการที่คีอูพูดอวยลูกชายวัยสี่ขวบที่กำลังซนว่ามีความสามารถด้านศิลปะ การใช้วิธีการสมัยใหม่ในการบำบัดจิตลูกชายด้วยการส่งน้องสาว ‘คียอง’ เข้ามาเป็นครูสอนศิลปะ การใช้วิธีแสบสันต์ต่างๆ เพื่อไล่คนขับรถ และแม่บ้านคนเก่าออก เพื่อจะได้มีพื้นที่การงานให้กับพ่อและแม่ของเขา นี่นอกจากจะแสดงให้เห็นกลวิธีของภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นความเก่งกาจของคนทำหนังและผู้กำกับที่สามารถเนรมิตฉากต่างๆ ได้อย่างไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการคิดรายละเอียดการเข้าไปในบ้าน การคิดค้นกลเม็ดเด็ดพราย เช่นในซีนที่คิม คนขับรถคนใหม่ พยายามจะบิ๊วคุณนายให้เชื่อว่าแม่บ้านคนเก่าเป็นวัณโรค หนังตัดสลับระหว่างฉากจริงในการหลอกหลวง กับภาพแฟลชแบ็กการฝึกซ้อมของคิมและลูกชาย เพื่อให้เกิดภาพสมจริงที่สุด นี่ทำให้เห็นทั้งความเก่งกาจทั้งคนทำ และยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าตระกูลคิมนี่ไม่ธรรมดาแต่ยังเก่งกาจถึงแม้จะมีความจนเป็นเส้นแบ่งที่ไม่อาจรู้ได้ว่าทำไมพวกเขาถึงยังเป็นคนจนในขณะที่น่าจะไปได้ไกลกว่านี้
หนังไม่เพียงแค่ต้องการทำให้เห็นแค่ความโชว์เหนือการหลอกลวงของคนจนที่พยายามจะเข้าไปอาศัยคนรวยในการทำงานให้ได้เท่านั้น แต่เมื่อทุกอย่างดูเป็นไปตามแผนทุกอย่างแล้ว หนังก็เล่นตลกคูณสองอีกครั้ง ด้วยการเผยให้เห็นสิ่งที่น่าจะเกินการคาดเดา เพราะในขณะที่พวกเขากำลังเสวยสุขในบ้านหลังโตเสมือนว่าเขาเป็นปรสิตที่มาหลอกอาศัยอยู่ในบ้านขณะที่เจ้าของบ้านตัวจริงไปแคมปิ้งนั้น แม่บ้านคนเก่าก็มากดกริ่งและขอเข้าไปเก็บของที่ห้องใต้ดินปริศนาที่ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่ ก่อนจะเฉลยว่าแท้จริงแล้วเธอได้ให้สามีของเธอหลบอาศัยอยู่ในห้องใต้ดินมานานแล้วหลายปี โดยครอบครัวคนรวยไม่รู้ เพราะบ้านหลังนี้แม่บ้านอยู่มาก่อนที่ครอบครัวปัจจุบันจะเข้ามา
เมื่อแม่บ้านพบเห็นครอบครัวคิมทั้งหมดจึงเข้าใจได้ว่า ทั้งหมดคือแผนหลอกลวงคุณนายเพื่อไล่พวกเธอออก นั่นจึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้นอย่างจัง ถึงแม้ก่อนหน้านี้แม่บ้านจะพยายามขอความเห็นใจในฐานะคนจนด้วยกัน แต่เมื่อรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงแผนชั่วร้าย การปะทะจึงเกิดขึ้น และต่างคนต่างไม่ยอมกัน จนเป็นสงครามขนาดย่อม และเป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างชนชั้นเดียวกัน นั่นคือชนชั้นล่าง ทั้งคู่พยายามแย่งสิทธิ์ในการเป็นคนรับใช้ของครอบครัวคนรวย และเมื่อเหตุการณ์ดันกลับตาลปัตรครอบครัวคนรวยยกเลิกแคมปิ้งเพราะฝนตกหนัก จนกลับมาที่บ้านเรื่องราวสุดโกลาหลก็เกิดขึ้น ‘ชุงซุก’ แม่บ้านคนใหม่ พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่เว้นแม้กระทั่งถีบแม่บ้านคนเก่าตกลงไปด้านล่างจนหัวกระแทกพื้น พ่อก็พยายามมัดมือคนผัวด้านล่าง และตั้งคำถามต่อเขาว่า ทำไมนายถึงทนอยู่ในห้องด้านล่างแบบนี้ได้ ก่อนที่จะได้รับคำตอบแสนหดหู่ได้ว่า นี่ก็เป็นชีวิตที่สุขสบายของเขาดี
หนังได้ให้รายละเอียดประปรายว่า เขาเคยเป็นเจ้าของร้านเค้กที่ไม่ประสบความสำเร็จโดนเจ้าหนี้นอกระบบทวงตามจนใช้วิธีหลบซ่อนอยู่ใต้ดินและไม่ออกไปเผชิญกับความจริงกับโลกภายนอกอีกต่อไป เขากลายเป็นปรสิตที่หลบเร้นและอยู่ด้านล่างและชื่นชมคุณพัคอย่างสุดใจ ในฐานะผู้ให้ที่อยู่อาศัยแก่เขา ตัวเขาเป็นภาพสะท้อนของคนชนชั้นล่างที่พยายามจะขยับตัวทำธุรกิจและหวังจะโชคเข้าข้างและป่ายปีนขึ้นสู่ชนชั้นกลางที่พอมีจะกิน แต่เมื่อทุกอย่างพังไม่เป็นท่า ภาวะล้มเหลวที่ไม่มีฟูกรองรับก็ทำให้ตัวเขาต้องกลายเป็นปรสิตอาศัยบ้านของคุณพัคอยู่เอาตัวรอดไปวันๆ อย่างไร้คุณค่า นี่ยิ่งทำให้เห็นความสิ้นหวังว่า การเกิดมาแบบไม่มีต้นทุนชีวิตของคนจนนั้นความผิดพลาดและล้มเหลวเพียงครั้งเดียวก็อาจน่ากลัวจนขนลุกขนพองมากเพียงใด
หนังไม่เพียงแต่ทำให้เห็นการต่อสู้กันระหว่างชนชั้นล่างที่พยายามจะเกาะเกี่ยวกับผลประโยชน์ของคนรวยที่จะทำให้เขาไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนอีกต่อไป หรือมองผิวเผินได้ว่า คนรวยในเรื่องนี้ เป็นเพียงเหยื่อของพวกคนจนที่จ้องจะมาเป็นปรสิตดูดกินความมั่งมีของคนรวย โดยปล่อยเบลอเรื่องของโครงสร้างที่ทำให้เกิดชนชั้นขึ้นมาไว้ในเบื้องหลัง แต่แล้วหนังก็ค่อยๆ สอดแทรกทัศนคติที่คนรวยมีต่อคนจนโดยเฉพาะบนฉากเซ็กซ์บนโซฟาที่คนเป็นพ่อ คุณพัค ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับกลิ่นตัวของคิม เอาไว้ได้อย่างเจ็บปวด และย้อนให้เห็นเส้นแบ่งของชนชั้นที่ไม่อาจเท่าเทียมกันได้ และในขณะเดียวกันเมื่อทั้งสองคนกำลังมีอารมณ์ร่วมทางเพศกันนั้นคำที่ออกมาจากปากพวกเขาคือสิ่งที่น่าจะเป็นการสอดแทรกสะท้อนการดัดจริตของคนรวยได้อย่างดี เพราะคุณพัคได้เร้าให้ภรรยาตัวเองใส่กางเกงในที่พบในรถของเขาเพราะเชื่อว่าคนขับรถคนเก่าได้แอบเอาผู้หญิงบนเบาะหลังรถของเขา และยังมโนกันว่าน่าจะเล่นยากันด้วย คุณพัคจึงอยากสร้างบรรยากาศทางเพศให้เท่ากับเบาะหลังรถของเขา ส่วนภรรยาก็บอกว่าอยากเล่นยา
นี่เป็นซีนที่สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมลึกๆ ของมนุษย์ได้อย่างดี หากเราไม่คิดถึงเรื่องชนชั้นบลาๆๆ ทั้งหมดแล้ว และบอกว่าทุกคนคือมนุษย์ที่มีสีเทาๆเท่ากัน ไม่ว่าคุณจะเกิดมาในรูปแบบใด จิตใจด้านลึกของคุณก็ต่างโหยหาในสิ่งด้านตรงข้ามที่คุณเป็นอยู่ ในขณะที่คนจนก็พยายามเลียนแบบฐานะสูงส่งของคนรวยเพื่อต้องการให้ได้ผลประโยชน์ในการมีงานทำในแบบที่คนรวยต้องการอยากได้ คนรวยนั้นในใจด้านลึกๆนั้นก็ยังมีความโหยหาความรู้สึกทางเพศในแบบที่จิตสึกนึกที่มีศีลธรรมในแบบคนรวยพร่ำสอนว่าเป็นของโสมมอยู่ดี นี่อาจจะเรียกว่า ปากว่าตาขยิบก็ได้ แต่มันก็สะท้อนความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันได้เป็นอย่างดี
ผู้เขียนอยากจะเขียนเล่าต่อว่าหลังจากซีนนี้ เมื่อครอบครัวคนจนได้หาทางในการหนีออกจากบ้านของคนรวยได้โดยไม่ถูกจับ ในขณะที่ฝนตกฟ้ากระหน่ำอย่างหนักหน่วง หนังก็ได้โชว์ภูมิทัศน์เปรียบเทียบความจนความรวยในซีนนี้ได้อย่าเด็ดขาด พวกคนจนคือพ่อ ลูกชาย ลูกสาว วิ่งจากบ้านคนรวย ในลักษณะลาดลงจากบนไปล่างๆ เรื่อยๆ เหมือนกับว่าบ้านหลังนั้นอยู่บนที่ราบสูงมาก ก่อนที่จะลาดลงไปสู่ที่ราบต่ำ จนไปสู่บ้านของพวกเขา และเมื่อมาถึงถนนซอยบ้านก็ทำให้พบว่าตอนนี้บ้านทุกหลังในละแวกนั้นกำลังถูกน้ำท่วมเล่นงาน นี่ไม่ต้องพูดถึงบ้านของคิม ที่อยู่ต่ำกว่าพื้นถนนอยู่แล้ว เตรียมตัวถูกน้ำท่วมมิดตัวบ้านได้เลย พวกเขาจึงต้องกระเสือกกระสนต่อเนื่อง เพื่อเก็บข้าวของออกมา พ่อเลือกที่จะหยิบเหรียญรางวัลของแม่ที่เคยเป็นนักกีฬากรีฑาน่าจะขว้างค้อน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่คนอย่างซุงชุกภูมิใจในชีวิต ส่วนลูกสาวเลือกที่จะหยิบบุหรี่ที่ซ่อนไว้บนเพดานห้องน้ำหยิบขึ้นมาสูบ ในขณะที่น้ำกำลังท่วมบ้านอย่างน่ากลัว และน้ำสีดำจากท่อเหม็นก็พุ่งออกมาจากชักโครกเน่าๆ ทั่วทุกสารทิศ
นี่เป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงสุนทรียะประหลาดๆ ความงดงามในความไร้แก่นสารของชีวิต นี่หรือคือคุณภาพชีวิตที่คนอย่างครอบครัวคิมควรจะได้รับ ไม่ว่าคุณจะเกิดมายากดีมีจนขนาดไหน สภาพสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นก็ไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้น
ส่วนลูกชาย คีอู นั้น ไม่บ้าก็เพี้ยน เพราะนอกจากจะไม่หยิบอะไรที่ดูสำคัญต่อการดำเนินชีวิตแล้ว เขายังหยิบหินปราชญ์ที่ได้รับมาจากปู่ของเพื่อนอีกที จะว่าไปสิ่งที่ดูไร้ค่าที่สุดอย่างหินอันนี้ กลับดูเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่หนังเน้นย้ำหลายต่อหลายครั้ง และเรื่องทั้งหมดอาจเกิดจากหินที่เป็นเครื่องรางของขลังก็เป็นได้ เพราะนั่นทำให้ตัวคีอูเองได้เข้าไปเป็นติวเตอร์ในบ้านคนรวย และยังได้ทำให้ครอบครัวได้มีงานทำทุกคน แต่ไม่นานนักความโชคดีทั้งหมดของเหมือนจะตลบหลังครอบครัวนี้ เพราะนอกจากปัญหาคาราคาซังที่รับรู้จากคนใต้หลังคาที่ยังค้างคาแล้วตอนนี้บ้านของพวกเขาก็นองไปด้วยน้ำทั้งหมด
ครอบครัวคิม ยกเว้นแม่ ต้องเข้าไปนอนอยู่ในโรงยิมเพื่อพักพิง ในซีนนี้มีคำพูดเด็ดที่อาจจะสะท้อนความคิดของคนจนก็ได้ ถ้าสังเกตกันให้ดี ตลอดเรื่องนี้ จะมีคำถามว่ามีแผนอะไรต่อไปหลายต่อหลายครั้ง และพอสุดท้ายเรื่องราวมาถึงจุดที่ดูสิ้นหวังที่สุด ลูกชายและลูกสาวก็หวังพึ่งพ่อโดยการถามว่าพ่อมีแผนอะไรต่อไปไหม และคำตอบที่พ่อตอบ อาจจะเป็นคำตอบสำคัญที่อาจสะท้อนภาพรวมฐานะชนชั้นของคนจนได้เป็นอย่างดี พ่อตอบได้ประมาณว่า “ถ้าถามเรื่องแผนนั้น ก็บอกได้ว่าไม่มี และไม่อยากวางแผนอีกต่อไป เพราะสุดท้ายแผนที่เราวางไว้ มันไม่เคยเป็นแบบที่เราหวังไว้ ใครจะไปคาดคิดล่ะว่า เราจะต้องมานอนหนีน้ำท่ามกลางโรงยิมที่นี่ ถ้าเราไม่มีแผนเราก็ไม่ต้องผิดหวัง ก็ใช้ชีวิตไปวันต่อไป สุดท้ายไม่ว่าจะต้องฆ่าคนตายหรือขายชาติมันก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว”
นี่เป็นบทพูดที่แสนคมกริบและสะท้อนภาพชนชั้นได้อย่างชัดเจน ภาพของคนจนที่อยู่ในบ้านที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐควรจะทำให้ดีกลับล้มเหลว ดังเช่นการจัดการน้ำท่วมให้ดีนั้น กลับกลายเป็นภาพอัดกระทืบซ้ำใส่คนจนอย่างจัง อย่าว่าแต่จะเอาเวลาไปยกระดับฐานะทางชนชั้นเลย แค่หวังภาวนาให้วันที่ฝนตกหนักน้ำไม่ท่วมบ้านก็บุญแค่ไหนแล้ว
หลังจากซีนฝนตกนี้จึงเกิดเป็นการเปรียบเทียบระหว่างสองชนชั้นได้อย่างชัดเจน ครอบครัวคนรวยได้ใช้เหตุการณ์ฟ้าหลังฝนไปกับการจัดปาร์ตี้วันเกิดให้กับลูกชายคนเล็ก และเชิญแขกเหรื่อมามากมาย แต่ครอบครัวคนจนนอกจากจะต้องนอนพักอยู่ในโรงยิม และเปลี่ยนเสื้อที่ทางการเตรียมมาให้ หนังใช้การตัดต่อเทียบให้เห็นระหว่างคุณนายพัคลองเสื้อในห้องลองของตัวเอง คนจนต่างยื้อแย่งเพื่อหาเสื้อที่กองบนพื้นเท่าภูเขา หรืออาจกล่าวได้ว่าความต่างของชนชั้นนั้นมันได้จำกัดความคิดที่เรามีต่อโลกไปโดยไม่รู้ตัว เพราะสำหรับคนรวยแล้วประโยคฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมออาจเป็นจริง แต่คนจนนั้นฟ้าหลังฝนนั้นอาจเป็นเรื่องที่พาเหตุการณ์ซวยมากมายกระหน่ำซ้ำเติมพวกเขาจนไกลกว่าคำว่าสวยงาม เหมือนที่ครอบครัวคิมกำลังเผชิญอยู่
ขอย้อนกลับมาที่หินอีกครั้งหากความเชื่อที่ว่าหินเป็นเครื่องรางของขวัญ ที่นำพาโชคดีให้กับใครก็ตาม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวคิม หินนำโชค ที่เหมือนจะพาโชคให้กับพวกเขาในตอนแรก ก่อนที่จะหักหลังเขาซะเอง เพราะมันนำพาความโชคร้ายกลับคืนมาให้เป็นทวีคูณ หรือเพราะว่าเขาไม่ควรทะเยอทะยานตั้งแต่แรกในการเข้าไปในบ้านคุณพัค แต่นั้นเป็นเหตุการณ์บานปลาย ของความจนไม่ใช่หรอ พวกเขาไม่มีทางเลือกที่จะใช้โอกาสสีเทาๆ นี้ เพื่อกู้วิกฤติทางการเงินของครอบครัวขึ้นมา แต่มันก็ยิ่งตอกย้ำความโชคร้ายของครอบครัวคิม หินนำโชคที่ได้รับมามันจึงไม่อาจสะท้อนความโชคดีใดๆ ได้เลย
หินจึงเป็นภาระอันหนักหน่วงที่ตัวมันเองเป็น และใครทุกคนคาดหวังว่ามันจะมอบอะไรให้ แท้จริงแล้วความหมายทางสัญลักษณ์ที่หินมอบให้นั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรก็ตาม นอกจากฐานะทางชนชั้นที่คุณมีตั้งแต่แรก หากคุณเป็นคนรวย คุณมีชาติตระกูลที่สูงส่ง หินปราชญ์ของคุณที่คุณเชื่อว่าจะนำพาความโชคดีมาให้คุณ ก็จะยิ่งนำพาความโชคดีมาให้คุณจริงๆ หรือถ้าคุณล้มเหลวคุณก็ยังมีแรงฮึดสู้ได้เรื่อยๆ แต่หากคุณเกิดมาในชนชั้นล่าง ไม่ว่าคุณจะมีหินปราชญ์อีกสิบชิ้น มันก็ไม่สามารถมอบความโชคดีให้กับคุณได้อยู่ดี หรือถ้ามีความโชคดีก็อาจเป็นความน่าจะเป็นที่ต่ำเตี้ยมาก และโอกาสล้มเหลวก็สูงมากอยู่ดี เหมือนกับความล้มเหลวของครอบครัวคนใต้หลังคาที่ล้มไม่เป็นท่าจนยอมเป็นแค่ปรสิต หินปราชญ์จึงสะท้อนให้เห็นภาพสัญลักษณ์ของชนชั้น ความหมายของหินจะแปรเปลี่ยนไปตามชนชั้นของคุณด้วย
อีกหนึ่งประเด็นที่ผู้เขียนอยากสอดแทรกใส่ไว้ในบทความนี้นั่นคือ ความแตกต่างจากชนชั้นมันจะเกิดผลกระทบต่อกัน แม้คุณจะไม่สนใจเลยก็ตาม ดังเช่นฉากงานปาร์ตี้ในตอนจบ ที่สุดท้ายความจนตรอกของครอบครัวคิมที่โดนผลกระทบเล่นงานไม่ว่าจะเรื่องกลิ่นที่สะท้อนความจน หรือจะครอบครัวใต้หลังคาที่เมียตาย จนทำให้เขาวิ่งขึ้นมาเอามีดไล่แทงคนอื่น จนไปแทงโดนคียอง เป็นผลทำให้ลูกชายคนเล็กของตระกูลพัคสลบไป คุณพัคและคุณนายรีบเรียกกุญแจรถจากนายคิม โดยไม่ได้สนใจช่วยเหลือลูกสาวของเขาแต่อย่างใด แถมนายคิมยังเห็นคุณพัคเอามือปิดจมูกจากความเหม็นที่มีต่อชายใต้บันได นั่นทำให้ความคับแค้นเรื่องกลิ่นคนจนถูกกระตุ้นให้เขาต้องกระทำการอันยากจะคาดเดา คล้ายๆ กับที่เขาบอกว่าการวางแผนคือการไม่มีแผน และสำหรับคนจนอย่างพวกเขาเมื่อจนตรอกอะไรก็ย่อมจะทำได้
นี่เป็นซีนแสดงภาพผลกระทบต่อกันอันใหญ่หลวงระหว่างคนจนและคนรวย และก็ขึ้นอยู่ทัศนคติของคนดูเองว่าจะมองมันอย่างไร อาจจะมองมันได้ว่า ครอบครัวคนรวยเป็นเหยื่อของการแก่งแย่งชิงดีของคนจนที่เข้ามากร้ำกรายเป็นดั่งชนชั้นปรสิต แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าดินแดนหนึ่งที่เรียกว่าประเทศนั้นเราไม่สามารถอยู่ร่วมโดดๆในแบบคนเดียวได้ แต่ต้องอาศัยพึ่งพากันเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และหากประเทศเดียวกันแต่กลับมีช่องว่างของผู้คนที่ห่างกันมากจนเกินไป โดยที่โครงสร้างพื้นฐานของรัฐไม่สามารถเข้ามาช่วย หนำซ้ำยังกระหน่ำซ้ำเติมแบบที่ครอบครัวคิมโดน ก็มีแต่จะถ่างความเหลื่อมล้ำของผู้คนในประเทศมากขึ้นไปอีก คนรวยหรือคนชนชั้นกลางพอมีอันจะกินก็อาจจะถูกผลกระทบจากการกระเสือกกระสนการเอาตัวรอด เพื่อหาเงินของคนจนไปโดยไม่รู้ตัว เช่น อาชญากรรม ปล้น ชิง วิ่งราว การฆ่ากันด้วยเรื่องเงิน การเสพย์ยาจนเบลอหลอนและจับคนเป็นตัวประกัน ซึ่งหลายครั้งก็เป็นภาพของคนชนชั้นล่างที่จนตรอก หมดไร้ซึ่งหนทาง ที่มักไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งในที่สุดไม่ว่าวันใดวันหนึ่งภาวะการจนตรอกนั้นเหล่านั้นก็ย้อนมาสร้างผลกระทบ หรือเป็นภัยต่อชนชั้นกลางขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว
เหมือนกับครอบครัวพัค วิมานของเขาที่สร้างมาอาจจะต้องล่มลงทันทีเมื่อกลายเป็นเหยื่อของการกระเสือกกระสนของครอบครัวโลว์คลาส นั่นเพราะการอยู่บนโครงสร้างส่วนบนของประเทศโดยไม่สำนึกว่านั่นคือความไม่เท่าเทียมหากมองในระดับมวลรวมของประเทศ การมีความสุขภายใต้ความทุกข์ของคนอื่น การละเลยและไม่ใส่ใจ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความผิดของตระกูลพัคเลย ตระกูลพัคเป็นเหยื่อของโครงสร้างไม่ธรรมไม่ต่างจากตระกูลคิม ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำจนไม่อาจแก้ไขปัญหาได้อีกต่อไป แค่ฝั่งหนึ่งโชคคดีอีกฝั่งโชคร้ายเท่านั้น
แต่อย่างที่กล่าวไป หากชนชั้นล่างคือผู้กระเสือกกระสนดิ้นรนอย่างรุนแรงและดุเดือด ขณะที่ชนชั้นบนไม่ต้องเหนื่อยหน่ายอีกต่อไป หลายครั้งที่สองชนชั้นนี้ได้ปะทะกัน ไม่ว่าจะฝ่ายไหนจะเป็นเหยื่อก็ตามแต่สุดท้ายไม่ว่าเหตุการณ์หนึ่งใครจะเป็นผู้แพ้ชนะ แต่ที่แน่ๆ ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะระบบโครงสร้างแข็งแกร่งที่สร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำแบบนี้ไปได้ และหากคุณเกิดเป็นคนรวยอยู่แล้วก็นับได้ว่าโชคดีอย่างมหาศาล แต่ถ้าคุณพลาดท่าเกิดเป็นคนจนคุณก็แค่ต้องแฟนตาซีฝันหวานไปวันๆ ว่าสักวันคุณจะร่ำรวย คุณจะมีบ้านหลังโตๆ แบบคุณพัค คุณจะอยู่หน้าพร้อมตากันทั้งบ้าน และมีเงินเหลือพอใช้ เหมือนที่คีอู ในตอนจบพยายามฝันหวาน ว่าเขาจะต้องดิ้นรนและขยับขึ้นทางชนชั้นเพื่อซื้อบ้านที่เคยเป็นของคุณพัค เพื่อเจอหน้าพ่ออีกสักครั้ง ซึ่งแน่นอนว่านี่คือความฝันหวานแฟนตาซี… แต่ความฝันหวานคือสิ่งเดียวที่จะหล่อเลี้ยงคุณต่อไปได้
กล่าวถึงที่สุดนี่จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าในระบบโครงสร้างของทุนนิยมที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำจนไม่สามารถหาจุดบรรจบได้อีกต่อไป จุดหมายเดียวของคนทุกคนก็เพียงทำทุกวิถีทางเพื่อขึ้นไปอยู่สุขสบายให้ได้ สำหรับคนที่อยู่ส่วนบนแล้วก็นับได้ว่าโชคดีอย่างถึงที่สุด แต่สำหรับคนด้านล่างแล้ว คุณก็ได้แต่กระเสือกกระสนดิ้นรน โอกาสสำเร็จถึงแม้จะมีน้อยนัก เพราะคุณไม่มีสิทธิ์ล้มเหลว หากคุณล้มสักครั้งก็อาจหมายถึงล้มทั้งชีวิต ความโชคดีจึงไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของสิ่งที่คุณเป็น และหากคุณเกิดมาจน ชีวิตคุณก็แทบไร้โชคตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว คุณจะทำอะไรก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะล้มเหลวมากกว่า อีกทั้งระบโครงสร้างพื้นฐานก็ยังทำให้คุณเป็นเหมือนประชาชนมือสอง สภาพแวดล้อมก็จะอยู่กับคนระดับเดียวกัน จนมองไปทางไหนก็มองไม่เห็นที่ทางที่คุณจะเขยิบขึ้นสู่ชนชั้นบนได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า
“ไม่ใช่เพราะคุณโชคร้ายหรอกคุณถึงจน แต่เพราะคุณเกิดมาจนต่างหากล่ะคุณถึงโชคร้าย”