
วิเคราะห์ We Need to Talk About Kevin
“เควิน แม่ขอโทษ”
*เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์*

We Need to Talk About Kevin เล่าขานถึงความจิตตกของ อีวา (Tilda Swinton) แม่ผู้ต้องรับใช้เคราะห์กรรมและความหดหู่กับสิ่งที่ลูกของเธอ “เควิน” (Ezra Miller) ได้กระทำลงไป กับการฆ่าสังหารโหดหมู่ เพื่อนนักเรียนในโรงเรียนของเขาเอง
หนังเริ่มต้นด้วยการนำเสนอภาพแม่ผู้ได้รับบ่วงกรรมที่เหตุการณ์เศร้าสลดได้ผ่านไปแล้ว แต่สิ่งที่เธอต้องเผชิญอยู่ก็คือ การถูกตั้งคำถามและตราหน้าจากสังคมว่าเพราะเหตุใดถึงได้เลี้ยงลูกให้เป็นฆาตกรเช่นนี้ เธอต้องทนอยู่ในบ้านคับแคบที่ไม่มีเวลาแม้แต่ทำความสะอาด เวลาผ่านได้ด้วยการนอนคร่ำครวญถึงอดีตอันเลวร้ายที่ผ่านมา และการถูกประณามจากสังคมด้วยวิธีต่างๆนานา ทั้ง เอาสีมาราดบ้าน ราดรถ การถูกคนจ้องมองและพร้อมจะเข้ามาทำร้ายเธอตลอดเวลา และเวลาแห่งปัจจุบันก็ไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็นดีๆนี่เอง
ด้วยเหตุนี้ภาพยนตร์จึงไม่เพียงแต่นำเสนอเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ยังสลับตัดต่ออย่างต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะมีเควิน หรือแม้กระทั่งในตอนที่เควินเป็นเด็กก็ตาม สิ่งที่หลงเหลือให้ผู้ชมได้ติดตามเรื่องทันก็คงเป็นทรงผมของแม่นั้นเองที่ ปรับเปลี่ยนลักษณะภายนอกตามแต่ช่วงเวลา
สิ่งหนึ่งที่ผู้ชมตั้งคำถามหลังจากชมเสร็จ อาจหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า “สรุปแล้วใครกันแน่ที่เลว แม่หรือเควิน” ด้วยวิธีการนำเสนอของหนัง จึงไม่ใช่หนังที่จะเล่าเรื่องในแบบหนังทั่วไป ที่จะตอบข้อสรุปในตอนจบอย่างชัดเจนว่าใครคือบุคคลที่ผิด แต่หนังพาไปสำรวจห้วงคิดของ อีว่า ตั้งแต่ก่อนมีเควิน จวบจนเหตุการณ์ปัจจุบันที่เธอต้องทนทุกข์ทรมาน

อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าข้อมูลของ อีว่า ที่ให้กับผู้ชมยังเป็นข้อมูลที่คัดสรรแล้วทั้งนั้นเลย มิหนำซ้ำหนังยังใจร้ายกับผู้ชม ที่ไม่มีฉากเควิน เปิดอกสารภาพความในใจ เหมือนเช่นเรื่อง Confessions ภาพยนตร์ญี่ปุ่น ที่พาผู้ชมไปรับฟังปัญหาของตัวละครทุกตัวที่สำคัญเพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ชมได้ไตร่ตรองและพิจารณา ซึ่งแตกต่างจาก We Need to Talk About Kevin ที่ไม่มีการปริปากถึงความลับของเควินให้แม่ล่วงรู้สักนิด แม้ว่าธาตุแท้ของหนังทั้งสองเรื่องจะมีการสำรวจสภาวะจิตใจ ที่บิดเบี้ยวซะเหลือเกินของตัวละครก็ตาม
แต่มีความเสมือนโดยไม่ตั้งใจของภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องที่กล่าวอ้าง โดยมีฉากหนึ่งที่เควิน กล่าวออกมาว่า “ทุกคนชอบดูคนสำคัญที่ออกทีวี ทุกคนดูทีวี ถ้าผมกระทำการด้วยวิธีเช่นนี้ ผมก็จะได้ออกทีวี และผมก็จะได้เป็นคนสำคัญ ซึ่งการเรียนดีไม่ได้ช่วยให้เป็นคนสำคัญ” ด้วยคำเปล่งวาจาของเควินจึงไม่ต่างจาก ตัวละครเด็กที่มีปัญหา ในเรื่อง Confessions เลย ด้วยมิติที่คล้ายคลึงกันก็คือ การเรียกร้องความสนใจ ซึ่งก็หมายถึงความรักนั่นเอง แต่มีความกลับกันในแง่ของการเรียกร้องก็คือ ชูยะ วานาตาเบ้ในเรื่อง Confessions ทำทุกทางเพื่อทำให้แม่ที่ทิ้งเขาไปกลับมาสนใจอีกครั้ง ส่วนเควิน ทำการสังหารเพื่อเรียกร้องเช่นกัน แต่เรียกร้องอะไร ยังคงเป็นปัญหาให้ผู้ชมเคลือบแคลงใจ
ถ้าลองวิเคราะห์ปัญหาให้ดี ภาพยนตร์กำลังนำเสนอในมิติเดียวก็คือ ปัญหาของอีวา ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกถึงได้เป็นเช่นนี้ เขาทำผิดพลาดประการใด โดยทิ้งปัญหาไว้ให้เหมือนชื่อเรื่อง นั่นคือ พวกเราต้องพูดคุยเกี่ยวกับเควิน ซึ่งจนแล้วจนรอดเราก็ได้คุยกับเควินนิดเดียว หรือแทบจะไม่ได้คุยด้วยซ้ำไป

มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ในฉากที่แม่อีวา ติดแผนที่ ทั่วโลกไว้ในห้องของเธอ แล้วบอกเควินว่าคนเรา ต้องมีสิ่งพิเศษเป็นของตนเอง( ซึ่งแน่ชัดว่า การเกิดเควินนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการ เพราะจะทำให้เธอไม่ได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลกอย่างที่ใจต้องการ) การพูดถึงสิ่งพิเศษอย่างอื่นต่อหน้าเควิน ซึ่งในใจเควินอาจกำลังตั้งคำถามกับแม่ว่า “แล้วผมหละยังไม่ใช่สิ่งที่พิเศษเพียงพอกับชีวิตแม่อีกหรอครับ” นี่อาจเป็นสาเหตุในความคับแค้นใจของเควิน (อย่าลืมว่าเควินโกรธในช่วงเวลาที่แม่ประคบประหงมลูกสาวคนใหม่ด้วย)
เมื่อจิตไร้สำนึกของเราไม่ได้รับการตอบสนองอย่างพอดี มันจะเก็บกดและฝังแน่นไว้ในดวงจิต และยังอาจมีอาณุภาพร้ายแรงถึงขั้นต่อต้าน และโกรธแค้นอย่างไม่มีสาเหตุ ถ้าลองจับแนวคิดนี้มาแล้วลองใส่เข้าในตัวของเควิน อาจเป็นหนทางเล็กๆที่อาจพบเจอต้นตอได้แม้อาจริบหรี่ก็ตาม ถ้าเควิน ต้องการเพียงความรักจากแม่ แล้วไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่พอใจ
มิหนำซ้ำยังเกิดเหตุการณ์ต่างๆที่ เควิน เหมือนกำลังถูกแย่งความรักไปจากแม่อีกด้วย อย่าลืมว่าการที่เควิน เห็นแม่กำลังร่วมรักกับพ่อก็ถือว่าเป็นการแย่งความรักไปเช่นกัน เพราะตามทฤษฎีปมโอดิปุส พ่อก็ไม่ต่างจากศัตรูที่กำลังแย่งความรักแม่ไปจากลูก
ดังนั้นพ่อจึงเป็นศัตรูที่กล้าแกร่งที่สุดของลูก(โดยเฉพาะลูกผู้ชาย) ลูกชายคนโต ในเรื่อง The Tree of Life ก็ติดอยู่กับปมนี้เช่นกัน จึงเล็งเห็นว่าเขาเกลียดพ่อ แต่ We Need to Talk About Kevin มีความสลับซับซ้อนกว่านั้น เพราะลูกไม่ได้แข่งขันกับพ่อโดยตรง แต่กำลังเรียกร้องความรักจากแม่ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดความรักของทุกสิ่ง พ่อเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องที่สำคัญเท่านั้น

แต่ด้วยการได้รับความรักที่ไม่พึงพอใจจนเหมือนไม่ได้รับ จะด้วยรูปแบบใดก็ตามแต่ ทำให้เควินเก็บกดและกลายเป็นเด็กก้าวร้าว และกลายเป็นความโกรธเกลียดที่ไม่อาจหาสาเหตุได้ เหมือนดังเช่น การถูกคนรักทอดทิ้งไป และกลายเป็นความหึง จนกระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาทและลงมือทำร้ายกันได้ นี่แสดงว่าความรักที่งดงามก็ไม่ต่างจากพิษร้ายนั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่แม่จะทนรับสภาพการดำรงอยู่ที่โหดร้ายดังการตกนรกทั้งเป็นเพื่อไถ่บาปความรู้สึกที่ตนเองได้กระทำการกับเควินโดยที่ตัวเธอก็ไม่รู้ตัว (การอุ้มลูกแล้วเขย่าก็เป็นการให้ความรักง่ายๆอีกรูปแบบหนึ่งของทารกน้อย แต่เธอหลงลืมไป) จึงไม่แปลกที่เธอจะอยู่อย่างการจนตรอกไร้ทางเยียวยา นอกจากจะได้รับการอภัยจากตัวเควินเองและนี้เป็นเหตุให้คำพูดสั้นๆของ เควิน จึงมีพลังเปลี่ยนแปลง อีวา จนมีแววตาที่เปี่ยมล้นในการใช้ชีวิติยู่ต่อไป
สุดท้าย แม้ We Need to Talk About Kevin อาจเป็นหนังที่สำรวจจิตตกได้อย่างม่นหมอง แต่ก็สลับกับบทเพลงนุ่มนวลที่ไม่ทำให้อารมณ์ผู้ชมจมดิ่งเกินไป และแม้บทความนี้จะสำรวจจิตลึกๆของเควิน และแม่ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นบทสรุปเรื่องราวของครอบครัวนี้ซะทั้งหมด แต่ข้าพเจ้าเชื่ออย่างสุดใจว่า เควินไม่ใช่มารหัวขนที่มาเกิดบนโลกนี้ แต่เขาคือเด็กคนหนึ่งที่น่าสงสาร และอีวาก็ไม่ใช่แม่ที่ดีนัก แต่เธอก็ได้ทำหน้าที่ของแม่ได้ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้แล้ว แต่ถึงอย่างไรต้องไม่ลืมว่า “จิตมนุษย์ยากลึกเกินหยั่งถึงเสียจริงๆ”
คะแนน 8.5/10
เกรด A+
