
โลกในยุคปัจจุบันที่เลยผ่านหลักศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา สิ่งต่างๆในโลกนั้นต้องแข่งขันด้านความรวดเร็วอยู่เสมอ ตั้งแต่เทคโนโลยี ความสร้างสรรค์ หรือสิ่งต่างๆ มากมาย เพราะถ้าพลาดแม้แต่วินาทีเราก็สามารถล้าหลังภายในเสี้ยววินาที ในวงการภาพยนตร์ก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องพยายามคิดค้นทางด้านเครื่องมือผลิตใหม่ๆเพื่อล่อเงินผู้ชมอยู่เสมอๆ ไม่ก็ต้องสร้างจุดเด่นทางด้านคุณภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง พล็อตเรื่อง บทภาพยนตร์ หรือความน่าสนใจอะไรบางอย่างที่จะสามารถยืนหยัดแข่งขันให้ได้ในวงการแห่งนี้
สำหรับภาพยนตร์ John Carter นั้นจัดอยู่ในภาพยนตร์แนวแฟนตาซีผจญภัย ซึ่งแน่นอนว่าภาพยนตร์แฟนตาซี มีหน้าที่จรรโลงจิตใจผู้ชมให้ได้รับความบันเทิงตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงที่อยู่ในโรงภาพยนตร์ การสร้างภาพที่น่าตื่นตา การไปในที่ๆไม่เคยไป หรือการสัมผัสต่อสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต นั่นคือสิ่งที่เป็นจุดแข็งของภาพยนตร์แฟนตาซีอยู่เสมอมาที่ทำให้ผู้ชมยอมควักค่าตั๋วเข้ามาชม
แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าการผลิตในกระบวนการภาพยนตร์ออกมาดี แต่ เกิดกับบทภาพยนตร์ที่มันค่อนข้างเชยหรือล้าหลัไปแล้วในยุคปัจจุบันดังที่ปรากฏกับ John Carter
ข้อกล่าวหาข้างต้นคงต้องย้อนไปถึงต้นกำเนิดของ John Carter ที่ถูกดัดแปลงมาหนังสือนิยายแฟนตาซีของนักเขียน Edgar Rice Burroughs ในเรื่อง A Princess of Mars ซึ่งเป็นนิยายเรื่องแรกที่ตัวละครสามารถข้ามภพไปดางดวงอื่นได้ โดยนิยายเรื่องนี้ถูกผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1917 ถ้านับเวลาถึงปัจจุบันก็ 95 ปีผ่านพ้นมา

ดังนั้นพล็อตเรื่องของ John Carter มันถูกภาพยนตร์เรื่องอื่นเอาไปต่อยอดผสมผสาน หลายต่อหลายรูปแบบ จนผู้ชมไม่รู้สึกแปลกใจกับเนื้อเรื่องอะไรแบบนี้อีกแล้ว แต่ที่น่าตลกก็คือ John Carter กับทู่ซี้ใช้ความเก่าของความคิดแฟนตาซีของคนสมัยเกือบ 100 ปีที่แล้ว มาสร้างภาพยนตร์ในยุคปัจจุบัน และที่สำคัญมันใช้งบประมาณการสร้างถึง $250 ล้านเลยทีเดียว
มันเลยเกิดความผสมผสานแบบมั่วไปหมดระหว่างจินตนาการ วิทยาศาสตร์ ภาพยนตร์ยุคบุกเบิกตะวันตก มีการใช้รถม้า ในวันที่มียานบินเหนืออากาศ ดาวอังคารมีเจ้าหญิงที่มีความสามารถคิคค้นในรื่องวิทยาศาสตร์ แต่บ้านเมืองกับป่าเถื่อนสิ้นดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดมันคือจินตนาการของโลกแฟนตาซีของคนเมื่อเกือบ 100 ปี ที่ยังไม่สามารถส่งคนขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ได้ แต่มันล้าหลังและเชยเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน
John Carter จึงเกิดอาการแบบผสมปนเปจนมั่วไปหมด เอาความโหดร้ายของสงคราม ของอารยธรรม ของวิทยาศาสตร์ ของการเมือง ของการปกครอง เรื่องความเชื่อในเรื่องเทพ เรื่องศาสนา มายำเข้ารวมกัน

จึงเชื่ออย่างหนึ่งว่านอกจากความล้าหลังของพล็อตเรื่อง การผิดพลาดในการลงทุนอันมหาศาล แต่ความสนุกเพลิดเพลินยังเกิดขึ้นได้กับเรื่องนี้อย่างแน่นอนแต่ในระดับมาตรฐานเท่านั้น ไม่ได้โดดเด่นจนน่าจดจำเท่าที่ควร บวกกับการวิจารณ์ในตัวหนังที่ค่อนไปทางลบ ทางดิสนี่ย์คงเหงื่อตกน่าดู โดยมุ่งหวังตลาดต่างประเทศเป็นการกอบกู้เงินทองที่เสียไปกลับคืนมา
แต่ถ้าถามว่าได้อะไรจากเรื่องนี้ คงยิ้มแหยๆแล้วตอบว่า
“ก็สนุกดี ดูเพลินๆ โปรดักชั่นดี เนื้อเรื่องอย่าไปคิดอะไรมาก”
คะแนน 6.5/10
เกรด C+